SEO Roadmap Featured Image

สอนขั้นตอนการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ 1 Google แบบ Step by Step  ตั้งแต่เริ่มต้นด้วยตัวเอง พร้อมเคล็ดลับพื้นฐานสำหรับมือใหม่ เข้าใจง่ายได้ผลจริง คุณจะได้เรียนรู้ SEO Roadmap ตั้งแต่การปรับแต่งเว็บไซต์ การหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับเว็บไซต์

การทำ On-Page SEO และ Off-Page SEO เพื่อให้ เว็บไซต์ของเราปรากฏบนลำดับต้นๆ ของ Search Engine (เครื่องมือค้นหา) โดยหลักๆจะเน้นไปที่ Google เพราะทั้งคนทั่วโลกและคนไทยใช้เครื่องมือค้นหานี้เป็นหลัก (กว่า 91% ของคนทั่วโลกใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ)

ขั้นตอนการทำ SEO [Roadmap]

1. วางแผนและกำหนดเป้าหมาย

การทำ SEO นั้นต้องวางแผนและกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อให้มีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามที่ต้องการ

สิ่งแรกที่ต้องทำคือกำหนดเป้าหมาย ว่าต้องการอะไร ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ในระดับใด ต้องการเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์จากช่องทางธรรมชาติ (Organic Traffic) เท่าใด ต้องการเพิ่มยอดขายหรือสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) อย่างไร

เป้าหมายที่ดีควรมีความเฉพาะเจาะจง เป็นรูปธรรม เป็นไปได้จริง และวัดผลได้

ตัวอย่างเป้าหมาย

  • ต้องการติดอันดับ Google หน้าแรกสำหรับคีย์เวิร์ด “ร้านอาหารไทยในกรุงเทพ” ภายใน 6 เดือน
  • ต้องการเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์จากช่องทางธรรมชาติเป็น 100,000 ครั้งต่อเดือน ภายใน 1 ปี
  • ต้องการเพิ่มยอดขายจากช่องทางออนไลน์เป็น 10 ล้านบาท ภายใน 2 ปี

อ่านเพิ่มเติม : SEO คืออะไร แล้วสำคัญอย่างไร ?

2. การทำ Keyword Research

การทำ Keyword Research คือ กระบวนการค้นคว้าและวิเคราะห์คำค้นหา ที่ผู้คนมักนำมาค้นใน Google ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังค้นหาอะไร และเราสามารถสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้ หากเราวางแผนเลือกคีย์เวิร์ดที่เอามาทำ SEO ได้ดี ก็จะส่งผลดีต่อการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของเรา

การเลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพควรมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมาย มีผู้ค้นหาจำนวนมาก และการแข่งขันที่ไม่สูงเกินไป เราสามารถใช้เครื่องมือช่วยทำ Keyword Research ต่างๆได้ เช่น Google Keyword Planner, SEMrush, Ahrefs, Ubersuggest เป็นต้น

อ่านบทความ : เทคนิคการหาคีย์เวิร์ด (Keyword Research) แบบละเอียด

3. การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีต่อ SEO

โครงสร้างเว็บไซต์ หรือ Site Structure คือ กระบวนการวางแผนและออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ เพื่อให้มีการจัดเรียงและวางส่วนประกอบต่าง ๆ ในที่ที่เหมาะสม โดยการทำ Site Structure นี้จะช่วยให้เว็บไซต์มีการจัดเรียงและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีระเบียบ และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีสำหรับผู้ใช้งานทั้งหลาย

การวางแผนโครงสร้างเว็บไซต์ตามกลุ่มเนื้อหาและคำค้นหา เมื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายและหาคีย์เวิร์ดที่จะเอามาทำได้แล้ว เราจะเริ่มวางแผนโครงสร้างเว็บไซต์โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นหมวดหมู่และหัวข้อย่อยตามกลุ่มเนื้อหาและคีย์เวิร์ด โครงสร้างที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  • มีการแบ่งหมวดหมู่เนื้อหาอย่างชัดเจน
  • มีการเชื่อมโยงระหว่างหมวดหมู่และหัวข้อย่อยอย่างเป็นระบบ
  • เนื้อหาแต่ละหน้าควรมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด
  • ใช้ Internal link เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บไซต์

นอกจากหลักการสำคัญข้างต้นแล้ว การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี ควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ดังนี้

ความง่ายในการเข้าถึงข้อมูล
เว็บไซต์ควรออกแบบให้ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ ไม่ควรมีลิงก์ที่มากเกินไปหรือลิงก์ที่ซับซ้อนจนเกินไป

ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
เว็บไซต์ควรมีความน่าเชื่อถือและเชื่อถือได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจว่าจะได้รับข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์

ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
โครงสร้างเว็บไซต์ควรเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ

การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะกับการทำ SEO นั้นไม่ใช่งานที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วเสร็จ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เว็บไซต์สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้ใช้งาน

อ่านบทความ : การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) สำหรับการทำ SEO

4. การทำ On-Page SEO ให้เหมาะสม

SEO On-Page หรือ On-Site SEO คือ กระบวนการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างในเว็บไซต์ให้เหมาะสมทั้งในแง่ของผู้ใช้งานและตัว Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อ SEO แบ่งออกเป็น 3 หมวดหลักๆ ได้แก่

คอนเทนต์ (Content)
เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำอันดับของ Google เนื้อหาควรมีความเกี่ยวข้องและตรงกับคำค้นหาที่กลุ่มเป้าหมายกำลังค้นหา เนื้อหาควรมีคุณภาพสูง เขียนอย่างกระชับ เข้าใจง่าย และมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์

โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)
โครงสร้างเว็บไซต์ควรมีความเป็นระเบียบ เนื้อหาควรอยู่ในหมวดหมู่ที่เหมาะสม และควรมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆ ภายในเว็บไซต์อย่างเหมาะสม

เทคนิคอื่นๆ (Other Techniques)
เทคนิคอื่นๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ SEO ได้แก่ การใช้รูปภาพและวิดีโอคุณภาพดี การใช้แท็กที่เหมาะสม การใช้ลิงก์ภายในและภายนอกเว็บไซต์ เป็นต้น

  • การมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี
  • การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด
  • การใช้คำค้นหาอย่างเหมาะสม (ไม่ Spam คีย์เวิร์ด)
  • การใช้รูปภาพและวิดีโอที่มีคุณภาพ
  • การทำลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆ บนเว็บไซต์

อ่านบทความ : การทำ SEO On-Page ให้ติดอันดับ 1 Google

5. การทำ Off-Page SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

SEO Off-page หรือ Off-site SEO คือ การปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของเราในผลการค้นหาของ Google โดยเน้นที่ปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ กลยุทธ์การทำ Off-page SEO ที่นิยมมากที่สุดคือ Link Building ซึ่งหมายถึงการหาเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องยิง Backlink ไปยังเว็บไซต์ของเรา

ลิงก์เหล่านี้จะส่งสัญญาณไปยัง Google ว่าเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอันดับเว็บไซต์ของเรา โดยเราสามารถสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นเข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้หลายวิธี เช่น

  • การเขียนบทความหรือโพสต์บนเว็บไซต์อื่นและใส่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา
  • การเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาหรืองานอีเวนต์และใส่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา
  • การโปรโมตเว็บไซต์ของเราผ่านสื่อสังคมออนไลน์

นอกจาก Link Building แล้ว ยังมีกลยุทธ์การทำ Off-page SEO อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น

  • การใช้ Social Media การเผยแพร่เนื้อหาของเราบนโซเชียลมีเดียจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าชมเว็บไซต์ของเรา
  • การทำ Network ส่วนตัว (PBN) เพื่อยิงลิงก์เข้ามายังเว็บไซต์ที่ต้องการทำอันดับ

อ่านบทความ : การทำ SEO Off-Page คืออะไร ทำยังไงให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

การวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการทำ SEO

6. การตรวจสอบและวัดผล SEO

การตรวจสอบและวัดผล มีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญ SEO และซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าควรปรับปรุงตรงไหน ข้อมูลเชิงลึกจากการตรวจสอบและวัดผลสามารถช่วยคุณตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ SEO ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ

เราสามารถใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ เช่น Screaming Frog SEO Spider, Ahrefs Site Audit เป็นต้น

เราสามารถติดตามผลได้จากเครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics, Ahrefs, SEMrush เป็นต้น

– การใช้ Google Analytics ในการตรวจสอบผลและวิเคราะห์
– การใช้ Google Search Console ในการตรวจสอบปัญหาและปรับปรุง
– การใช้เครื่องมือ SEO อื่นๆ เพื่อวัดผลและปรับแต่ง

บทสรุปการทำ SEO

เมื่อเข้าใจพื้นฐานในการทำงานของ Search Engine แล้ว การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหา ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ โดยแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  1. วางแผนและกำหนดเป้าหมาย
  2. ทำ Keyword Research หาและเลือกคำค้นมาใช้กับเว็บไซต์
  3. ออกแบบ Site Structure ที่ดีต่อ SEO
  4. การทำ On-Page SEO ให้เหมาะสม
  5. การทำ Off-Page SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
  6. การตรวจสอบและวัดผล

การทำ SEO นั้นต้องอาศัยความอดทนและใช้เวลา เพราะต้องใช้เวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการทำ อย่างต่อเนื่อง

อ่านคู่มือฉบับของ Google : https://developers.google.com

Share this article