การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ หรือ site structure โดยเว็บไซต์ ehowme.com

โครงสร้างเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีเป้าหมายใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายสินค้า การสื่อสารข้อมูล หรือการเพิ่มอันดับบน Search Engine โครงสร้างเว็บที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้ User Experience มีประสิทธิภาพตามไปด้วยนั้นเอง

โครงสร้างเว็บไซต์ คืออะไร ?

โครงสร้างเว็บไซต์ คือ การจัดระเบียบของหน้าเว็บทั้งหมดในเว็บไซต์ โครงสร้างที่ดีจะช่วยให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเรามากขึ้น นอกจากนี้แล้ว การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) ให้เหมาะกับการทำ SEO นั้น ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเราออกแบบดีก็ส่งผลให้เว็บไซต์ทำอันดับผลการค้นหา (Search Engine Result Page) ได้ง่ายขึ้นนั้นเอง

โครงสร้างเว็บไซต์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?

การจัดลำดับของหน้าเว็บเพจภายในเว็บไซต์ ให้มีความเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ โดยโครงสร้างเว็บไซต์ (site structure) สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  1. Linear Structure โครงสร้างเว็บแบบเส้นตรง
  2. Hierarchical Structure โครงสร้างเว็บแบบต้นไม้
  3. Web Linked Structure โครงสร้างเว็บแบบเชื่อมโยงอิสระ
  4. Hybrid Structure โครงสร้างเว็บไซต์แบบผสม

อ่านเพิ่มเติม : https://yoast.com/site-structure

1. โครงสร้างเว็บไซต์แบบเส้นตรง (Linear Structure)

โครงสร้างเว็บไซต์แบบเส้นตรง หรือ Linear Structure

โครงสร้างเว็บไซต์แบบเส้นตรง (Linear Structure) คือ โครงสร้างเว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาแบบเป็นลำดับ ทีละหัวข้อ ทีละประเด็น โดยเริ่มจากหน้าแรกหรือหน้า Landing Page ตามด้วยหน้าอื่น ๆ ตามลำดับ โครงสร้างเว็บไซต์ประเภทนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่มากนัก หรือต้องการจัดเนื้อหาให้เป็นระบบ เช่น

เว็บไซต์ขายสินค้าหรือบริการที่มีการนำเสนอแบบเป็นขั้นตอน เว็บไซต์บทเรียนออนไลน์ที่ต้องเริ่มจากบทที่ 1, 2, 3 ต่อไปเรื่อย ๆ หรือเนื้อหาบนอีบุ๊กที่ต้องอ่านจากหน้าแรกไปหน้าสุดท้าย เป็นต้น

ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear Structure

  • หน้าแรกหรือหน้า Landing Page จะเป็นหน้าหลักของเว็บไซต์ ทำหน้าที่เป็นหน้าแนะนำเว็บไซต์และนำทางไปยังหน้าอื่น ๆ
  • หน้าอื่น ๆ จะเป็นหน้าที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจง เรียงลำดับเนื้อหาตามลำดับ
  • แต่ละหน้าจะมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ข้อดีของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear Structure

  • ง่ายต่อการเข้าใจและใช้งาน
  • ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่มากนัก

ข้อเสียของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear Structure

  • ไม่เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหามากและหลากหลาย
  • อาจทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกเบื่อหน่ายหากเนื้อหามีความยาวมาก

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ใช้โครงสร้างแบบ Linear Structure

  • เว็บไซต์สอนทำอาหาร
  • เว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษ
  • เว็บไซต์สอนทำขนม
  • เว็บไซต์ขายสินค้า
  • เว็บไซต์ขายคอร์สออนไลน์

วิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear Structure

  • กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์
  • วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
  • รวบรวมข้อมูลและเนื้อหา
  • กำหนดลำดับเนื้อหา
  • ออกแบบหน้าเว็บไซต์
  • ทดสอบการใช้งาน

ตัวอย่างโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear Structure

โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear Structure สามารถออกแบบได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์และกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Linear Structure ที่นิยมใช้กัน ได้แก่

  • โครงสร้างแบบลำดับขั้นตอน (Sequential Structure) เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็นขั้นตอน เช่น เว็บไซต์สอนทำอาหาร เว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษ
  • โครงสร้างแบบลำดับเหตุการณ์ (Chronological Structure) เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือประวัติศาสตร์ เช่น เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์ประวัติศาสตร์
  • โครงสร้างแบบลำดับเหตุผล (Logical Structure) เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลหรือความรู้ เช่น เว็บไซต์สารานุกรม เว็บไซต์วิชาการ

2. โครงสร้างแบบต้นไม้ (Hierarchical Structure)

โครงสร้างแบบต้นไม้ หรือ Hierarchical Structure

โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure หรือ โครงสร้างเว็บไซต์แบบต้นไม้ เป็นโครงสร้างเว็บไซต์ที่แบ่งเนื้อหาออกเป็นหมวดหมู่ย่อย ๆ เรียงลำดับเนื้อหาจากภาพรวมไปยังรายละเอียด คล้ายกับแผนผังต้นไม้ เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหามากและหลากหลาย เช่น เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เว็บไซต์บริษัทขนาดใหญ่ เป็นต้น

ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure

  • หน้าแรกหรือหน้า Landing Page จะเป็นหน้าหลักของเว็บไซต์ ทำหน้าที่เป็นหน้าแนะนำเว็บไซต์และนำทางไปยังหมวดหมู่หลัก
  • หน้าอื่น ๆ จะเป็นหน้าที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจง แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ย่อย ๆ
  • แต่ละหมวดหมู่ย่อยจะมีหน้าย่อย ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ
  • แต่ละหน้าจะมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ข้อดีของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure

  • ง่ายต่อการเข้าใจและใช้งาน
  • ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหามากและหลากหลาย

ข้อเสียของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure

  • อาจทำให้ผู้ใช้งานสับสนหากโครงสร้างเว็บไซต์ซับซ้อนเกินไป

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ใช้โครงสร้างแบบ Hierarchical Structure

  • เว็บไซต์ข่าว
  • เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
  • เว็บไซต์บริษัทขนาดใหญ่
  • เว็บไซต์สถาบันการศึกษา
  • เว็บไซต์ท่องเที่ยว

วิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure

  • กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์
  • วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
  • รวบรวมข้อมูลและเนื้อหา
  • กำหนดหมวดหมู่เนื้อหา
  • ออกแบบหน้าเว็บไซต์
  • ทดสอบการใช้งาน

ตัวอย่างการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure

โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure สามารถออกแบบได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์และกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hierarchical Structure ที่นิยมใช้กัน ได้แก่

  • โครงสร้างแบบหมวดหมู่ (Category Structure) เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหามากและหลากหลาย เช่น เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เว็บไซต์บริษัทขนาดใหญ่
  • โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchy Structure) เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างเนื้อหาซับซ้อน เช่น เว็บไซต์สถาบันการศึกษา เว็บไซต์ท่องเที่ยว

3. โครงสร้างแบบเชื่อมโยงอิสระ (Web Linked Structure)

โครงสร้างเว็บไซต์แบบเชื่อมโยงอิสระ หรือ Web Linked Structure

โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Web Linked Structure หรือ โครงสร้างเว็บไซต์แบบเชื่อมโยงอิสระ เป็นโครงสร้างเว็บไซต์ที่ทุกหน้าบนเว็บไซต์สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ ไม่ว่าผู้ใช้งานจะเข้าเว็บไซต์จากหน้าใดก็ตาม ก็สามารถเข้าถึงทุกหน้าบนเว็บไซต์ได้ เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่มากนัก หรือเน้นการคลิกกลับไปกลับมาภายในเว็บไซต์ เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เว็บไซต์โซเชียลมีเดีย เป็นต้น

ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Web Linked Structure

  • หน้าแรกหรือหน้า Landing Page จะเป็นหน้าหลักของเว็บไซต์ ทำหน้าที่เป็นหน้าแนะนำเว็บไซต์
  • หน้าอื่น ๆ จะเป็นหน้าที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจง สามารถเชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ
  • แต่ละหน้าจะมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ข้อดีของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Web Linked Structure

  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่มากนัก
  • ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสำรวจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างอิสระ
  • ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

ข้อเสียของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Web Linked Structure

  • อาจทำให้ผู้ใช้งานสับสนหากโครงสร้างไม่ชัดเจน
  • อาจทำให้ผู้ใช้งานหาข้อมูลที่ต้องการไม่พบหากโครงสร้างไม่ดี

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ใช้โครงสร้างแบบ Web Linked Structure

  • เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
  • เว็บไซต์โซเชียลมีเดีย
  • เว็บไซต์บล็อก
  • เว็บไซต์ข่าว
  • เว็บไซต์สถาบันการศึกษา

วิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Web Linked Structure

  • กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์
  • วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
  • รวบรวมข้อมูลและเนื้อหา
  • ออกแบบหน้าเว็บไซต์
  • ทดสอบการใช้งาน

โดยสรุปแล้ว โครงสร้างเว็บไซต์แบบต่าง ๆ แต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อเสียที่แตกต่างกันไป การเลือกโครงสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น วัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ ปริมาณและประเภทของเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น

4. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure)

โครงสร้างเว็บไซต์แบบผสม หรือ Hybrid Structure

โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure หรือ โครงสร้างเว็บไซต์แบบผสม เป็นโครงสร้างเว็บไซต์ที่ผสมผสานระหว่างโครงสร้างเว็บไซต์แบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายและซับซ้อน เช่น เว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เป็นต้น

ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure

  • โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure มักจะมีโครงสร้างหลักเป็นโครงสร้างแบบ Hierarchical Structure เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาของเว็บไซต์ให้อยู่ในรูปแบบที่ง่ายต่อการเข้าใจ
  • โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure อาจมีโครงสร้างแบบ Web Linked Structure เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสำรวจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างอิสระ
  • โครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure อาจมีโครงสร้างแบบ Linear Structure เพิ่มเติม เพื่อนำเสนอเนื้อหาที่เป็นลำดับขั้นตอน

ข้อดีของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure

  • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายและซับซ้อน
  • ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
  • ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสำรวจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างอิสระ
  • ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

ข้อเสียของโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure

  • อาจทำให้โครงสร้างเว็บไซต์มีความซับซ้อนเกินไป
  • อาจทำให้ผู้ใช้งานสับสนหากโครงสร้างไม่ชัดเจน

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ใช้โครงสร้างแบบ Hybrid Structure

  • เว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่
  • เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
  • เว็บไซต์สถาบันการศึกษา
  • เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์

วิธีออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์แบบ Hybrid Structure

  • กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์
  • วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
  • รวบรวมข้อมูลและเนื้อหา
  • ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์
  • ทดสอบการใช้งาน

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่ อาจใช้โครงสร้างแบบ Hierarchical Structure หลักเพื่อจัดระเบียบเนื้อหาของเว็บไซต์ตามหมวดหมู่ย่อย ๆ ขององค์กร จากนั้นอาจใช้โครงสร้างแบบ Web Linked Structure เพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น

หน้าประวัติความเป็นมา หน้าข้อมูลติดต่อ หน้าข่าวสาร เป็นต้น นอกจากนี้ อาจใช้โครงสร้างแบบ Linear Structure เพิ่มเติมเพื่อนำเสนอเนื้อหาที่เป็นลำดับขั้นตอน เช่น หน้านโยบายและข้อกำหนด หน้าขั้นตอนการใช้งาน เป็นต้น

ลักษณะการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี

  • มีความเป็นระเบียบและง่ายต่อการค้นหา เว็บไซต์ควรมีโครงสร้างที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ผู้ใช้งานควรสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวก ภายใน 3 คลิก
  • มีการเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking) อย่างเหมาะสม การเชื่อมโยงภายในจะช่วยให้เว็บไซต์มีความเชื่อมโยงถึงกัน และทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
  • มีการใช้ประโยชน์จากคำหลัก (Keywords) อย่างเหมาะสม เว็บไซต์ควรมีการเลือกใช้คำหลักอย่างเหมาะสม โดยคำหลักควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์
  • มีโครงสร้างที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเว็บไซต์ โครงสร้างเว็บไซต์ควรสอดคล้องกับเป้าหมายของเว็บไซต์ เช่น หากเว็บไซต์มีเป้าหมายในการขายสินค้า โครงสร้างเว็บไซต์ควรเน้นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ

ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะกับการทำ SEO

  • ทำการศึกษาคำหลัก (Keywords Research) ก่อนที่จะออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ ควรทำการศึกษาคำหลักที่ผู้ใช้ค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ โดยคำหลักควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์
  • จัดหมวดหมู่หน้าเพจอย่างเหมาะสม หน้าเพจต่างๆ ควรจัดหมวดหมู่อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
  • ใช้คำหลักอย่างเหมาะสม ควรใช้คำหลักอย่างเหมาะสมในทุกๆ องค์ประกอบของเว็บไซต์ เช่น หัวข้อ เนื้อหา ลิงก์ และชื่อไฟล์
  • เชื่อมโยงภายในอย่างเหมาะสม ควรเชื่อมโยงภายในอย่างเหมาะสม เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ควรปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเพจ และการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่างๆ

การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะกับการทำ SEO เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้ความรอบคอบ ผู้ที่สนใจในการทำ SEO ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถออกแบบเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนถัดไปจะเป็นเรื่องของการทำ On-Page แบบละเอียด ตามไปอ่านกันได้เลย

อ่านบทความ : การทำ SEO On-Page ให้ติดอันดับ 1 Google

Share this article