
การทำ SEO On Page เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ Google และ Search Engine อื่นๆ เข้าใจว่าเว็บไซต์ของเราเกี่ยวกับอะไร และเนื้อหาของเรามีคุณภาพเหมาะสมกับการค้นหาของผู้ใช้งาน การทำ On-Page มีความสำคัญต่อการทำ SEO ทั้งหมด เพราะหากเว็บไซต์ของเราไม่ผ่านเกณฑ์ ก็ยากที่จะติดอันดับ Search Engine เมื่อเนื้อหามีคุณภาพดีพอที่จะจัดอันดับให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นในผลการค้นหา ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีผู้เข้าชมมากขึ้น และมีโอกาสที่จะสร้างรายได้มากขึ้นตามไปด้วย
1. การเลือกใช้ Keyword
การเลือกใช้ “คำหลัก” หรือ Keyword ในการทำคอนเทนต์ สร้างเนื้อหาบนหน้าเพจ โดย “หนึ่ง 1 เพจ ควรโฟกัส 1 คำหลัก” หรือคุมเนื้อหาให้มีประเด็นเดียว เพื่อความชัดเจนของเนื้อหา นอกจากนี้ Keyword ที่ใช้ควรมีลักษณะต่างๆ ได้แก่
การเลือกใช้ Keyword สำหรับทำเว็บไซต์ที่ดีนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำ SEO On Page เนื่องจาก Keyword ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนผลการค้นหาของ Search Engine ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีผู้เข้าชมมากขึ้น โดยปัจจัยสำคัญในการเลือก Keyword ที่ดี มีดังนี้
- ปริมาณการค้นหา (Search Volume) หมายถึง จำนวนครั้งที่มีผู้ใช้ค้นหา Keyword นั้นๆ ในแต่ละเดือน
- ความยากง่ายในการติดอันดับ (Keyword Difficulty) หมายถึง ระดับความยากในการติดอันดับบนผลการค้นหาสำหรับ Keyword นั้นๆ
- เจตนาในการค้นหา (User Intent) หมายถึง วัตถุประสงค์ของผู้ที่ค้นหา Keyword นั้นๆ เช่น ต้องการหาข้อมูล ต้องการซื้อสินค้า หรือต้องการติดต่อขอความช่วยเหลือ เป็นต้น
- ความเกี่ยวข้องของ Keyword กับเนื้อหาของเว็บไซต์
การเลือกคีย์เวิร์ดมาทำคอนเทนต์ สร้างเนื้อหาบนหน้าเพจหรือบทความนั้น ใน 1 หน้าเพจหรือ 1 บทความ ควรโฟกัสไปแค่ 1 คีย์เวิร์ด โดยเนื้อหาต้องมีความละเอียด ครบ ชัดเจน ตอบโจทย์กับผู้ใช้งาน
2. การทำคอนเทนต์คุณภาพ (E-A-T Content)
การสร้างเนื้อหาที่มีข้อมูลเชิงลึก น่าเชื่อถือ และมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน คอนเทนต์แบบนี้จะได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google (อ้างอิง : https://developers.google.com)
E-A-T ย่อมาจาก Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) คอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงควรมีคุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ) หมายถึง คอนเทนต์ที่มีคุณภาพควรเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ คอนเทนต์ควรนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง ถูกต้อง และเชื่อถือได้ เช่น บทความจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ, บทความจากนักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย, ความจากนักการเงินผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เป็นต้น
- Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ) หมายถึง คอนเทนต์ควรมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีหลักฐานสนับสนุน และได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านมั่นใจว่าคอนเทนต์นั้นถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา Google ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยจะใช้ปัจจัยต่าง ๆ ในการวัดความน่าเชื่อถือของคอนเทนต์ เช่น แหล่งที่มาของคอนเทนต์ ความเชี่ยวชาญของผู้เขียน, การอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เชื่อถือได้, ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น
- Trustworthiness (ความน่าไว้วางใจ) หมายถึง คอนเทนต์ที่นำเสนอข้อมูลอย่างเป็นกลางและไม่มีอคติ โดยสามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ ความถูกต้องของข้อมูล, ความชัดเจนของข้อมูล, ความเป็นกลางของข้อมูล เช่น บทความรีวิวสินค้าหรือบริการจากผู้บริโภคจริง, บทความข่าวที่นำเสนอข้อมูลอย่างเป็นกลาง เป็นต้น
การทำคอนเทนต์คุณภาพนั้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทั้งเนื้อหาและรูปแบบของเนื้อหา โดยเนื้อหาของคอนเทนต์ควรมีความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน รูปแบบของคอนเทนต์ควรมีความน่าสนใจ น่าอ่าน และดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ควรได้รับการอัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ เพื่อให้ข้อมูลมีความทันสมัยและถูกต้องตามสถานการณ์ปัจจุบัน
เคล็ดลับในการทำคอนเทนต์คุณภาพ
- เลือกหัวข้อที่มีประโยชน์และน่าสนใจ: หัวข้อของคอนเทนต์ควรเป็นสิ่งที่ผู้อ่านสนใจและต้องการรู้ หัวข้อควรมีความเฉพาะเจาะจง และตรงกับความสนใจของผู้อ่าน
- ทำการวิจัยอย่างละเอียด: ก่อนเขียนคอนเทนต์ ควรทำการวิจัยอย่างละเอียด เพื่อรวบรวมข้อมูลและข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
- เขียนเนื้อหาให้ถูกต้อง ครบถ้วน และกระชับ: เนื้อหาควรถูกต้องตามหลักวิชาการ และครบถ้วนตามประเด็นที่นำเสนอ เนื้อหาควรกระชับ เข้าใจง่าย และอ่านง่าย
- ใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย: ภาษาที่ใช้ควรชัดเจน เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
- ใช้รูปภาพและวิดีโอประกอบ: รูปภาพและวิดีโอสามารถช่วยดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน และทำให้คอนเทนต์ของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น
- ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา: ก่อนเผยแพร่คอนเทนต์ ควรตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณถูกต้องและครบถ้วน
การทำคอนเทนต์คุณภาพนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คอนเทนต์ของคุณมีคุณภาพดี และตรงตามความต้องการของผู้อ่าน
อ่านบทความ : 7 เคล็ดลับในการเขียนบทความ SEO ไม่ควรพลาด!
คุณคิดว่าบทความไหนจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน?
- บทความที่ไวรัลบน Social Media อยู่ไม่กี่วัน
- บทความที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ไวรัลก็ตาม
คำตอบขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ หากคุณต้องการแค่สร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ การเขียนคอนเทนต์ให้ไวรัลก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคุณต้องการให้บทความของคุณสร้างผลกระทบระยะยาวต่อผู้อ่าน การให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
3. ใช้ปลั๊กอินทำ SEO Structure Checklist
สำหรับการทำ Seo Structure Checklist นั้น คือ การตรวจสอบองค์ประกอบต่างๆ ของโครงสร้างและบทความในเว็บไซต์โดยจะส่งผลต่อคะแนน SEO On Page โครงสร้างเว็บไซต์ที่ควรตรวจสอบใน SEO Structure Checklist ได้แก่
- โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) เว็บไซต์ควรมีโครงสร้างที่ชัดเจนและง่ายต่อการค้นหา ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถสำรวจเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
- Title Tag และ Meta Description Title Tag และ Meta Description เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ Google Bot และผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้านั้นๆ ควรใช้ Title Tag และ Meta Description ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและชัดเจน
- Heading Tag Heading Tag ช่วยแบ่งเนื้อหาของหน้าออกเป็นส่วนๆ ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถอ่านเนื้อหาได้ง่ายขึ้นและช่วยให้ Google Bot เข้าใจโครงสร้างของเนื้อหา
- Content เนื้อหาของเว็บไซต์ควรมีคุณภาพสูง เป็นประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย
- Images รูปภาพและวิดีโอควรมีคุณภาพดี และควรมีคำบรรยาย (Alt Text) เพื่อให้ Google Bot สามารถเข้าใจเนื้อหาของรูปภาพและวิดีโอได้
- Schema Markup Schema Markup ช่วยอธิบายเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณให้ Google Bot เข้าใจได้ดีขึ้น
- Internal Link Internal Link ช่วยเชื่อมโยงหน้าต่างๆ ภายในเว็บไซต์เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถสำรวจเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้ Google Bot เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น
- Outbound Link Outbound Link ช่วยเชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณไปยังเว็บไซต์อื่น ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ
- Mobile Friendly เว็บไซต์ควรรองรับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้อย่างสะดวก
ส่วนปลั๊กอินปรับแต่ง SEO ในเว็บไซต์ ที่เราแนะนำมี 2 ตัว คือ
Yoast SEO
ปลั๊กอินที่ให้บริการทั้งแบบฟรีและแบบพรีเมียม โดยแบบฟรีมีฟีเจอร์พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่ง SEO ส่วนแบบพรีเมียมจะมีฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ละเอียดยิ่งขึ้น Yoast ยังเป็นปลั๊กอินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน WordPress โดยมีผู้ใช้มากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก
สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ : https://th.wordpress.org/plugins/wordpress-seo/
Rank Math SEO
ปลั๊กอินที่ให้บริการทั้งแบบฟรีและแบบพรีเมียม โดยแบบฟรีมีฟีเจอร์พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่ง SEO ของเว็บไซต์ของคุณ ส่วนแบบพรีเมียมมีฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่ง SEO ของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น
สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ : https://wordpress.org/plugins/seo-by-rank-math/
เปรียบเทียบระหว่าง Rank Math SEO และ Yoast SEO
Rank Math SEO
- จุดเด่น: มีฟีเจอร์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกด้านของ SEO
- จุดด้อย: การตั้งค่าอาจซับซ้อนสำหรับผู้ใช้มือใหม่
Yoast SEO
- จุดเด่น: ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้มือใหม่
- จุดด้อย: ฟีเจอร์อาจไม่ครอบคลุมเท่า Rank Math SEO
โดยสรุปแล้ว Rank Math SEO อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกด้านของ SEO ในขณะที่ Yoast SEO อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้มือใหม่ที่ต้องการปลั๊กอินที่ใช้งานง่าย
4. การเพิ่มความเร็วหน้าเว็บไซต์ (Page Speed)
ความเร็วหน้าเว็บไซต์ (Page Speed) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) ของเว็บไซต์ เพราะหากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้ก็มีโอกาสที่จะออกจากเว็บไซต์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อัตราการออกจากเว็บเพจ (Bounce Rate) สูงขึ้น ซึ่ง Google ไม่ชอบ เพราะมันจะคิดว่าหน้าเว็บนั้นๆไม่มีคุณภาพ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อ SEO และทำให้การทำอันดับเป็นเรื่องที่ยาก
5. การปรับแต่งรูปภาพ (Image Optimization)
การทำ Image Optimization SEO คือ การปรับแต่งรูปภาพบนเว็บไซต์ เพื่อให้มีขนาดไฟล์เล็กลงโดยไม่กระทบกับคุณภาพของรูปภาพ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อ SEO On Page โดยช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาได้ดีขึ้น และช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเข้าชมเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังช่วยให้ Googlebot สามารถเข้าถึงและจัดทำดัชนีรูปภาพของคุณได้ง่ายขึ้น
การทำ Lazy Load จะช่วยให้โหลดรูปภาพและวิดีโอเมื่อผู้ใช้เลื่อนผ่านหน้าเว็บลงมาถึงตำแหน่งนั้น ๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดทรัพยากรและทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น สำหรับปลั๊กอิน Lazy Load ที่นิยมใช้กันมีดังนี้
- LazyLoad
- WP Rocket
- Autoptimize
ใช้รูปภาพแบบ WebP จะช่วยให้รูปภาพมีขนาดเล็กกว่า JPG และ PNG แต่ยังคงรักษาคุณภาพของภาพไว้ได้ เพื่อให้เว็บไซต์รองรับไฟล์นามสกุล WebP ปลั๊กอินเหล่านี้จะแปลงไฟล์รูปภาพ JPEG PNG ให้กลายเป็นไฟล์ WebP เมื่อเราอัปโหลดลงใน WordPress
- WebP Express
- Imagify
- ShortPixel
6. สร้าง URL ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ (URL Friendly)
URL Friendly คือ URL ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ หมายความว่า URL นั้นสามารถอ่านและเข้าใจได้ง่าย URL Friendly มีความสำคัญต่อการทำ SEO On Page สำหรับการตั้งค่า permalink ใน WordPress สามารถทำได้โดยไปที่เมนู Settings > Permalinks แล้วเลือกตัวเลือก Post name การตั้งค่า permalink แบบนี้จะช่วยทำให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้หน้าเว็บมีโอกาสถูกจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google ได้สูงขึ้น

URL ที่ดีต้องกระชับ อ่านออก แนะนำให้ใช้ “-” ขีดในการแยกแต่ละคำ และควรมีคีย์เวิร์ดหลักประกอบด้วย เพื่อให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บเราเกี่ยวกับอะไร
- แนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษตั้งชื่อ URL แทนภาษาไทย
- หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขและตัวอักษรซ้ำๆ กัน
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายพิเศษ เช่น เครื่องหมายทับ เครื่องหมายคำถาม เครื่องหมายอัศเจรีย์
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่า URL ของหน้าเว็บไม่ยาวเกินไป
7. รองรับแสดงผลบนมือถือ (Mobile Responsiveness)
Mobile Responsiveness คือ การออกแบบเว็บไซต์ที่ปรับขนาดให้เหมาะกับหน้าจออุปกรณ์พกพาทุกขนาด ทุกวันนี้ คนใช้สมาร์ตโฟนทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข่าว ค้นหาข้อมูลที่สนใจ การทำให้เว็บไซต์รองรับอุปกรณ์มือถือจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ Google ซึ่งในปัจจุบัน ธีมใน WordPress ส่วนใหญ่แล้วจะออกแบบมาเพื่อรองรับการแสดงผลแบบ Responsiveness อยู่แล้ว เพื่อนๆสามารถทดสอบหน้าเว็บไซต์ว่ารองรับ Mobile Friendly หรือไม่ ได้ที่เว็บ https://search.google.com/test/mobile-friendly
8. การทำ Link building สำหรับ SEO On Page
การเชื่อมโยงภายในและภายนอกเว็บไซต์เป็นเทคนิคสำคัญในการช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีการจัดระเบียบที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงการจัดอันดับบนหน้าผลการค้นหาของ Google อีกด้วย
การเชื่อมโยงภายใน (Internal Link)
การเชื่อมโยงภายในคือการเชื่อมโยงจากหน้าหนึ่งไปยังหน้าอื่นภายในเว็บไซต์เดียวกัน ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถสำรวจเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้ Google Bot เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น ส่งผลดีในการทำ SEO On Page ให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น
เมื่อทำลิงก์ภายใน สิ่งสำคัญคือต้องเลือกลิงก์ไปยังหน้าที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน จะช่วยให้ผู้เยี่ยมชมได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ ควรใช้ลิงก์ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เช่น ใช้คำหรือวลีที่เป็นคำอธิบายเนื้อหาของหน้าปลายทาง
การเชื่อมโยงภายนอก (Outbound Link)
การเชื่อมโยงภายนอกคือการเชื่อมโยงจากหน้าหนึ่งไปยังเว็บไซต์อื่น ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ ส่งผลให้ Google Bot มองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณค่าและน่าเชื่อถือ
เมื่อทำลิงก์ภายนอก สิ่งสำคัญคือต้องเลือกลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน จะช่วยให้ผู้เยี่ยมชมได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ ควรใช้ลิงก์ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เช่น ใช้คำหรือวลีที่เป็นคำอธิบายเนื้อหาของหน้าปลายทาง
บทความที่เกี่ยวข้อง