PageSpeed คืออะไร พร้อมแนะนำวิธีปรับเว็บไซต์ให้เร็วขึ้นใน 8 ขั้นตอน

Page Speed คือ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ โดยวัดจากระยะเวลาที่หน้าเว็บต้องใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์ทั้งหมดที่จำเป็นในการแสดงผลหน้าเว็บนั้นๆ ให้กับผู้ใช้งาน

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของผู้ใช้ หากหน้าเว็บโหลดช้า ผู้ชมอาจรู้สึกหงุดหงิดและปิดหน้าเว็บนั้นทิ้งไป ส่งผลให้อัตราการออกจากหน้าเว็บ (Bounce Rate) สูงขึ้น

นอกจากนี้ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ให้ความสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาอีกด้วย เรียกได้ว่ามีผลกับการทำ SEO อย่างมากเลยทีเดียว ดังนั้นการทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วจึงมีโอกาสติดอันดับผลการค้นหาได้สูงขึ้นนั้นเอง

รู้จัก Core Web Vitals

Core Web Vitals คือชุดเมตริกที่วัดประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริงสำหรับประสิทธิภาพในการโหลด การโต้ตอบ และความเสถียรของภาพในหน้าเว็บ Google ให้ความสำคัญกับ Core Web Vitals เป็นอย่างมาก และเริ่มนำเมตริกเหล่านี้มาใช้เป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับผลการค้นหาของเว็บไซต์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2021

ตัวอย่างเว็บ ehowme ทดสอบ PageSpeed Insight ของ Google
ภาพตัวอย่างการใช้งาน PageSpeed Insights ของเว็บ ehowme

Core Web Vitals ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  • Largest Contentful Paint (LCP) : วัดระยะเวลาที่ใช้เวลาในการโหลดองค์ประกอบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บ เช่น รูปภาพหรือวิดีโอ
  • First Input Delay (FID) : วัดระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องรอหลังจากคลิกหรือแตะบนหน้าเว็บจนกว่าเว็บไซต์จะตอบสนอง
  • Cumulative Layout Shift (CLS) : วัดความเสถียรขององค์ประกอบบนหน้าเว็บขณะที่หน้าเว็บกำลังโหลด

8 ขั้นตอนการทำ Page Speed ให้ไวขึ้น

1. เลือก Web Hosting ที่ดี

เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น ดังนั้นควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงและการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เสถียร

2. ลดขนาด Script บนหน้าเว็บ

ไฟล์ขนาดใหญ่จะทำให้หน้าเว็บโหลดช้าลง ดังนั้นควรลดขนาดไฟล์ของทรัพยากรต่างๆ บนหน้าเว็บให้เหมาะสม เช่น บีบอัดรูปภาพและวิดีโอให้มีขนาดลดลงโดยไม่กระทบต่อคุณภาพ เลือกใช้ไฟล์ JavaScript และ CSS ที่บีบอัดแล้ว และหลีกเลี่ยงการใช้ไฟล์ที่ไม่จำเป็น

3. บีบอัดไฟล์ JavaScript และ CSS

ไฟล์ JavaScript และ CSS เป็นทรัพยากรที่ใช้ในการแสดงผลหน้าเว็บ ดังนั้นควรบีบอัดไฟล์ JavaScript และ CSS ให้มีขนาดลดลงโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน

4. ใช้งานรูปภาพและวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ

รูปภาพและวิดีโอเป็นทรัพยากรที่กินพื้นที่มากที่สุดบนหน้าเว็บ ดังนั้นควรใช้งานรูปภาพและวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เลือกขนาดรูปภาพให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอ บีบอัดรูปภาพและวิดีโอให้มีขนาดลดลงโดยไม่กระทบต่อคุณภาพ และใช้รูปภาพและวิดีโอแบบ Lazy Load เพื่อโหลดรูปภาพและวิดีโอเมื่อผู้ใช้เลื่อนดูหน้าเว็บ

อ่านบทความ : ขนาดรูป Facebook 2024

5. ใช้ Plugin เท่าทีจำเป็น

สำหรับเว็บที่ใช้ WordPress การใช้ปลั๊กอินนั้นเป็นของคู่กันอยู่แล้ว แต่ปลั๊กอินบางตัวในเว็บไซต์ของเรา ติดตั้งไว้แล้วไม่ได้ใช้ ก็อาจจะทำให้ Speed Page ช้าลงได้ อย่างเว็บบทความจ๋าเลย ก็ไม่จำเป็นต้องมี Woocommerce เป็นต้น การใช้ปลั๊กอินเท่าที่จำเป็น จะทำให้ขนาดไฟล์ Script ในการโหลดไม่ใหญ่จนเกินไป

6. ทำ Lazy Loading

Lazy Loading คือการโหลดทรัพยากรต่างๆ บนหน้าเว็บเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นเท่านั้น ไม่ต้องรอให้ทรัพยากรทั้งหมดโหลดจนเสร็จก่อนแล้วค่อยแสดงผล ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น และประหยัดการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งานได้ด้วย ทรัพยากรที่สามารถใช้ Lazy Loading ได้ เช่น รูปภาพ, วิดีโอ, ไฟล์ JavaScript และ CSS เป็นต้น

แนะนำ Plugin สำหรับการทำ Lazy Loading ใน WordPress

  1. Lazy Load Images เป็น Plugin ฟรีที่ช่วยให้สามารถโหลดรูปภาพบนหน้าเว็บเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นเท่านั้น
  2. Lazy Load WP เป็น Plugin ฟรีที่ช่วยให้สามารถโหลดรูปภาพ วิดีโอ และไฟล์ JavaScript และ CSS บนหน้าเว็บเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นเท่านั้น
  3. Jetpack Lazy Load เป็น Plugin ฟรีจาก Jetpack ที่ช่วยให้สามารถโหลดรูปภาพและวิดีโอบนหน้าเว็บเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นเท่านั้น
  4. Wp Fastest Cache เป็น Plugin ฟรีที่ช่วยให้สามารถโหลดรูปภาพและวิดีโอบนหน้าเว็บเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นได้ และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บอื่นๆ ได้ด้วย
  5. WP Rocket เป็น Plugin เสียเงินที่ช่วยให้สามารถโหลดรูปภาพและวิดีโอบนหน้าเว็บเฉพาะส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นได้ และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บอื่นๆ ได้ด้วย

อ่านบทความ : สอนตั้งค่า WP-Rocket ให้เว็บโหลดเร็วง่ายๆ ได้ไม่เกิน 5 นาที

7. การเก็บ Cache ของเนื้อหา

Cache คือการเก็บไฟล์ผลลัพธ์ของหน้าเว็บไว้ชั่วคราว ช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานที่กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้ง

8. ใช้ CDN (Content Delivery Network)

CDN เป็นเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ช่วยในการกระจายไฟล์ของเว็บไซต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้ ส่งผลให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานที่อยู่ทั่วโลก

การทดสอบ Page Speed ของเว็บไซต์

การทดสอบ Speed Page ของเว็บไซต์ เป็นกระบวนการวัดความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เช่น ขนาดไฟล์ของทรัพยากรต่างๆ บนหน้าเว็บ ประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์ และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของผู้ใช้

การทดสอบ Speed Page จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถติดตามประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ และทำการปรับปรุงให้เหมาะสมอยู่เสมอ

เครื่องมือทดสอบ Page Speed

  • Google PageSpeed Insights : เครื่องมือฟรีของ Google ที่ใช้ในการทดสอบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือ
  • Pingdom Toolsเครื่องมือทดสอบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่ครอบคลุมปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
  • GTmetrix : เครื่องมือทดสอบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่ครอบคลุมปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ และแสดงผลการวิเคราะห์ที่ละเอียด

ผลการทดสอบความเร็วเว็บไซต์ จะแสดงคะแนนความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ คำแนะนำในการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ และปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

คะแนนความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เต็ม 100 คะแนน โดยคะแนนที่สูงกว่า 70 ถือว่าดี และคะแนนที่สูงกว่า 85 ถือว่าดีมาก คำแนะนำในการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถทำการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บได้อย่างเหมาะสม

ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถระบุสาเหตุที่ทำให้หน้าเว็บโหลดช้า และทำการปรับปรุงให้เหมาะสม การทดสอบ Speed Page ของเว็บไซต์เป็นประจำจะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถติดตามประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ และทำการปรับปรุงให้เหมาะสมอยู่เสมอ

Share this article