การทำ Keyword Research คือ กระบวนการค้นหาและวิเคราะห์คำหรือวลีที่คนใช้ค้นหาข้อมูลจาก Search engine เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บนผลการค้นหาของ Google การทำ Keyword Research จะช่วยให้คุณเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาอะไร และต้องการให้คุณนำเสนอเนื้อหาแบบไหน เพื่อให้พวกเขาคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาของคุณ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
สารบัญ
ขั้นตอนการทำ Keyword Research มีดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายของคุณ
สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการกำหนดเป้าหมายของคุณว่าคุณต้องการทำ Keyword Research เพื่อวัตถุประสงค์ใด คุณต้องการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องการเพิ่ม Conversion Rate หรือคุณต้องการเพิ่มยอดขาย
การกำหนดเป้าหมายของคุณจะช่วยให้คุณกำหนดขอบเขตในการค้นหา Keyword ได้
2. ทำรายการหมวดหมู่คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
เมื่อคุณกำหนดเป้าหมายของคุณได้แล้ว คุณก็เริ่มทำรายการหมวดหมู่คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้ หมวดหมู่คำเหล่านี้อาจเป็นคำหลักทั่วไปหรือคำหลักเฉพาะเจาะจงก็ได้
ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเจ้าของร้านอาหาร คุณอาจเริ่มด้วยหมวดหมู่คำทั่วไป เช่น “ร้านอาหาร” “อาหาร” “รีวิวร้านอาหาร” จากนั้นจึงค่อยๆ เจาะลึกลงไปในหมวดหมู่คำเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น “ร้านอาหารไทย” “ร้านอาหารญี่ปุ่น” “ร้านอาหารอิตาเลียน”
3. สร้างรายการ Keyword หลักของคุณ
หลังจากที่คุณทำรายการหมวดหมู่คำเรียบร้อยแล้ว คุณก็เริ่มสร้างรายการ Keyword หลักของคุณได้ Keyword หลักคือคำหรือวลีที่มี Volume ในการค้นหาสูงและการแข่งขันไม่สูงมาก คุณสามารถใช้เครื่องมือค้นหา Keyword เพื่อช่วยให้คุณสามารถค้นหา Keyword หลักได้
4. ศึกษาเจตนาในการค้นหา
นอกจาก Volume ในการค้นหาและการแข่งขันแล้ว คุณต้องศึกษาเจตนาในการค้นหาของ Keyword นั้นๆ ด้วย เจตนาในการค้นหา คือสิ่งที่คนต้องการเมื่อพวกเขาค้นหา Keyword นั้นๆ
เจตนาในการค้นหามี 4 ประเภท ได้แก่
- Informational : ต้องการค้นหาข้อมูล
- Navigational : ต้องการไปยังเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเฉพาะเจาะจง
- Commercial : ต้องการซื้อหรือขายสินค้าหรือบริการ
- Transactional : ต้องการดำเนินการบางอย่าง เช่น จองโรงแรม ซื้อตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ
6. ใช้เครื่องมือช่วยค้นหา (Keyword Research Tool)
เมื่อวิเคราะห์ Keyword เรียบร้อยแล้ว ก็เลือก Keyword ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของเรา โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหา การแข่งขัน ค่าใช้จ่ายต่อคลิก ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เป็นต้น สำหรับเครื่องมือช่วยค้นหาและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดนั้นมีหลายเครื่องมือ มีทั้งฟรีและเสียเงิน ที่นิยมใช้กันก็จะมี
- Google Keyword Planner (ฟรี)
- Google Trends (ฟรี)
- Ubersuggest (ฟรีบางฟีเจอร์และเสียเงิน)
- Keyword Tool.io (ฟรีบางฟีเจอร์และเสียเงิน)
- Ahrefs (ฟรีบางฟีเจอร์และเสียเงิน)
- Semrush (ฟรีบางฟีเจอร์และเสียเงิน)
โดยเครื่องมือเหล่านี้ จะช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ว่าคำที่เราใส่ลงไป มีการค้นหาปริมาณเท่าไหร่ คู่แข่งเยอะไหม พร้อมยังแนะนำคำที่เกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงให้เราเอาไปทำเป็น Content ต่อได้อีก โดยแต่ละเครื่องมือเหล่านี้มีฟีเจอร์และจุดเด่นที่แตกต่างกันไป แนะนำให้ลองใช้เครื่องมือหลายๆตัว เพื่อเปรียบเทียบและหาเครื่องมือที่เหมาะกับเรามากที่สุด
7. เทคนิคการเลือก Keyword มาใช้งาน
ตัวอย่างการหา Keyword จากเว็บ Ubersuggest
เมื่อได้ลิสต์ของ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมาแล้ว คุณจะเห็นว่าตัวคำค้นที่ได้มานี้จะมีจำนวนมาก ซึ่งจะต้องทำการคัดเลือก Keyword ที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุดออกมาก่อน
ค่าที่ใช้ดูเพื่อคัดเลือก Keyword มาใช้งาน
- Search Volume คือจำนวนการค้นหาคำหลักหรือคีย์เวิร์ดบน Search Engine ในแต่ละเดือน ซึ่งสามารถวัดได้จากเครื่องมือค้นหา Keyword ต่างๆ เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest เป็นต้น ยิ่งปริมาณการค้นหามาก ก็จะทำให้มีคนเข้าเว็บเรามากไปด้วยเช่นกัน (แต่ต้องติดอันดับด้วยนะ)
โดยปกติแล้ว Keyword ที่มีปริมาณการค้นหาสูงจะมีการแข่งขันสูงเช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือก Keyword ที่มีปริมาณการค้นหาเหมาะสมกับเป้าหมายและธุรกิจ โดยพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ข้างต้นร่วมด้วย
- Click Through Rate (CTR) คือ อัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น (Clicks per Impressions) เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของเนื้อหาหรือเว็บไซต์ โดยคำนวณจากจำนวนคลิกที่เว็บได้รับหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏ CTR เป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญต่อการทำการตลาดออนไลน์ เนื่องจากสามารถวัดประสิทธิภาพของโฆษณาหรือเนื้อหาได้ โดยค่า CTR ที่สูง แสดงว่าโฆษณาหรือเนื้อหานั้นมีความน่าสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้ชม ทำให้ผู้ชมคลิกเข้ามาอ่านรายละเอียดในเนื้อหามากนั้นเอง
- Keyword Difficulty (KD) คือ ค่าที่แสดงถึงความยากง่ายในการติดอันดับของ Keyword นั้นๆ โดยค่า KD มักถูกแสดงเป็นตัวเลขตั้งแต่ 0-100 โดยที่ค่า KD ที่ต่ำจะหมายถึง Keyword นั้นๆ ทำอันดับได้ง่าย ส่วนค่า KD ที่สูงจะทำอันดับได้อยากนั้นเอง ตัวเลขเหล่านี้จะช่วยให้เราตัดสินใจว่าจะเลือก Keyword คำไหนมาใช้ หากคีย์หลักที่เราจะใช้มีค่า KD ที่สูงเกินไป อาจจะลองเลือกใช้คีย์เวิร์ดแบบ Long-Tail ที่มีคู่แข่งน้อยกว่ามาใช้แทน
ตัวอย่าง Keyword ที่เหมาะกับการทำ SEO เช่น
- Keyword สั้นๆ ทั่วไป เช่น “รองเท้า” “มือถือ” “อาหาร”
- Keyword ยาวๆ (Long-Tail Keyword) เช่น “รองเท้าผ้าใบผู้ชายสีขาว” “มือถือสเปคสูงราคาไม่เกิน 10,000 บาท” “ร้านอาหารอิตาเลียนใกล้ฉัน”
- Keyword เฉพาะเจาะจง (Niche Keyword) เช่น “รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่ง” “มือถือสำหรับเล่นเกม” “ร้านอาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิม”
การเลือก Keyword ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนผลการค้นหาของ Search Engine และช่วยให้เว็บไซต์ดึงดูดผู้เข้าชมเข้ามามากขึ้น
8. วิเคราะห์คู่แข่งของคุณ
การวิเคราะห์คู่แข่งของคุณก็มีความสำคัญเช่นกัน คุณควรศึกษาดูว่าคู่แข่งของคุณใช้ Keyword อะไรบ้าง และพวกเขาทำ Keyword Research อย่างไร จากการวิเคราะห์คู่แข่งของคุณ คุณอาจได้ไอเดียใหม่ๆ ในการค้นหา Keyword ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
เมื่อคุณทำ KW Research เสร็จแล้ว คุณก็สามารถนำ Keyword เหล่านั้นไปใช้ในการวางแผนเนื้อหาและการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการทำ Keyword Research
- เว็บไซต์คู่แข่งทำคอนเทนต์ประเภทไหนลงบนเว็บไซต์บ้าง
- มีการเขียนหัวข้อในบทความยังไงบ้าง
- การวาง Density Keyword ในบทความมากแค่ไหน
- วิเคราะห์บทความหรือหน้าเว็บเพจไหนที่ติดอันดับการค้นหาได้ดี
การทำ KW Research เป็นประจำจะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุง SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ และทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ บนผลการค้นหาของ Google ได้
In This Article